สื่อออนไลน์ประวัติศาสตร์สากล
Home
แบบทดสอบก่อนเรียน
ที่มาประวัติศาสตร์สากล
ประวัติศาสตร์สากลสมัยโบราณ
ประวัติศาสตร์สากลสมัยกลาง
ระบอบฟิวดัล
สงครามครูเสด
การฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ
การสำรวจทางทะเล
การปฏิรูปศาสนา
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
การปฏิวัติอุตสาหกรรม
การปฏิวัติทางภูมิปัญญา
ประวัติศาสตร์สากลสมัยใหม่
ประวัติบุคคลสำคัญ
จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ (John F. Kennedy)
วินสตัน เชอร์ชิล(Winston Churchill)
อับราฮัม ลิงคอล์น (Abraham Lincoln)
จูเลียส ซีซาร์
จอร์จ วอชิงตัน (George Washington)
แฟรงกลิน เดลาโน โรสเวลต์
มหาตมะ คานธี
อาร์คิมิดีส
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)
กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei)
สรุปประวัติศาสตร์สากล
แบบทดสอบหลังเรียน
อ้างอิง
ติดต่อฉัน
New Page
Button Text
ระบอบฟิวดัล
ที่ดินที่เป็นพันธ- สัญญาระหว่างเจ้านายที่เป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งเจ้าของที่ดินจะเป็นพวกขุนนาง เรียกว่า ลอร์ด (lord) กับผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน คือ ข้า หรือ เรียกว่า วัสซัล (vassal)ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 ยุโรปได้เกิดระบบฟิวดัล (Feudalism) หรือระบบศักดินา- สวามิภักดิ์* ซึ่งเป็นระบบที่ครอบคลุมทั้งทางด้านการเมืองการปกครอง สังคม และเศรษฐกิจของ ยุโรปยุคกลางในเวลาต่อมา คำว่า Feudalism มาจากคำว่า ฟีฟ (fief) หมายถึง ความสัมพันธ์ในระบบ ฟิวดัลคือความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์กับผู้ได้รับการอุปถัมภ์
การเกิดระบบฟิวดัลนั้นเริ่มจากกษัตริย์ที่เป็นเจ้านายชั้นสูงของระบบและเป็นเจ้าของที่ดินทั้งราชอาณาจักรจะพระราชทานที่ดินให้กับขุนนางระดับสูงในท้องถิ่น เพื่อให้ขุนนางระดับสูงจงรัก ภักดีและเป็นการตอบแทนความดีความชอบจากการทำสงคราม ทั้งกษัตริย์และขุนนางจะมีพันธะ ต่อกัน กล่าวคือขุนนางมีหน้าที่ส่งทหารมาช่วยเมื่อมีสงคราม ส่งภาษีตามระยะเวลาที่กำหนด ส่วน กษัตริย์มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองและความยุติธรรมแก่ขุนนาง ทั้งนี้ขุนนางระดับสูงก็จะนำที่ดินนั้น มาแบ่งให้กับขุนนางระดับรองลงไป ขุนนางระดับสูงจึงเป็นข้าหรือวัสซัลของกษัตริย์ แต่เป็น เจ้านายหรือลอร์ดของขุนนางระดับรองลงไปอีก เพื่อให้ขุนนางระดับรองภักดีและสนับสนุนด้าน กำลัง ส่วนขุนนางระดับรองรวมทั้งประชาชนที่เป็นข้าติดที่ดินก็จะได้รับการคุ้มครองจากขุนนางระดับสูงจากนั้นขุนนางระดับรองจะนำที่ดินนั้นมาหผลประโยชน์และปกครองดูแลผู้คนที่จะทำมา หากินบนที่ดินในเขตแมเนอร์ (manor) ของตน ประชาชนที่อาศัยและทำงานในที่ดินนั้น เรียกว่า เซิร์ฟ (serf) หรือข้าติดที่ดิน ดังนั้น ระบบนี้จึงเป็นการแบ่งที่ดินลงเป็นทอดๆ จนถึงขุนนางระดับ ล่างสุด คือ อัศวินในแต่ละแมเนอร์จะมีศูนย์กลางของแมเนอร์คือปราสาท ซึ่งเป็นที่อยู่ของขุนนางและ ครอบครัว บริเวณที่ดินโดยรวมเป็นที่ทำมาหากินของชาวนาและเซิร์ฟ ซึ่งรวมกันเป็นหมู่บ้าน มีทั้ง โรงตีเหล็ก ช่างซ่อมแซมสิ่งของ มีวัดใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา รอบๆ หมู่บ้านจะเป็นพื้นที่ เกษตรกรรม ซึ่งชาวนาและเซิร์ฟจะต้องแบ่งผลผลิตให้เจ้าของที่ดินเป็นค่าตอบแทน ความ สัมพันธ์หรือข้อตกลงของลอร์ดกับวัสซัลมีตามพิธีกรรมที่เรียกว่า “การแสดงความจงรักภักดี” (homage) หรือสวามิภักดิ์นั่นเอง
การล่มสลายของระบบฟิวดัล
การที่ระบบฟิวดัลล่มสลายนั้นเป็นผลจากการขยายตัวทางการค้าและอุตสาหกรรมในยุโรป โดยเฉพาะในบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้เกิดชุมชนพาณิชย์อุตสาหกรรมขึ้น ส่งผลให้ชาว ชนบทละทิ้งที่นาเข้ามาประกอบอาชีพค้าขายหรือประกอบการผลิตสินค้าหัตถกรรมในเขตเมือง ทำให้สังคมเมืองมีการขยายตัว เกิดเป็นสังคมเมืองขึ้นมาใหม่ ซึ่งผู้คนที่มาอยู่ในเมืองไม่ได้อยู่ใน ระบบฟิวดัล แต่เป็นกลุ่มคนที่ประกอบอาชีพทางการค้าและอุตสาหกรรม และเมื่อมีประชาชนเพิ่ม มากขึ้นอย่างรวดเร็ว ชุมชนเมืองขยายตัวเพิ่มมากขึ้น มีเมืองใหม่ๆ เกิดขึ้นทั่วทั้งยุโรปในคริสต์ ศตวรรษที่ 11-12 หัวเมืองในอิตาลี เช่น เมืองเวนิส เมืองเจนัว และเมืองในบริเวณเนเธอร์แลนด์ เป็นเมืองสำคัญทางด้านการค้าและอุตสาหกรรม การค้าทางทะเลมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นโดย เฉพาะในเขตทะเลเหนือและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมืองที่เกิดขึ้นใหม่นี้มีการจัดการปกครองแบบ เทศาภิบาล (municipality) มีการเก็บภาษีท้องถิ่นเพื่อที่จะพัฒนาเมืองและมีระบบสร้างความปลอดภัยให้กับเมือง พวกพ่อค้าและพวกช่างมีความมั่งคั่งขึ้น ชนชั้นกลางเหล่านี้เมื่อมีอำนาจมาก ขึ้นจึงได้หันไปสนับสนุนกษัตริย์ เพื่อให้คุ้มครองกิจการและผลประโยชน์ของตน การฟื้นฟูทาง เศรษฐกิจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมและระบอบการเมืองการปกครอง เพราะทำให้ระบอบการ ปกครองแบบฟิวดัลเริ่มเสื่อมอำนาจลงในช่วงนี้ ขุนนางที่เคยเป็นใหญ่และมีอำนาจอิสระในการ ปกครองตามระบบแมเนอร์ของตนต้องล่มสลาย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากขุนนางต้องออกไปทำ สงครามและเสียชีวิตจำนวนมาก และผลจากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากจะทำให้ ชนชั้นกลางมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้พวกขุนนางยากจนลง พวกทาสติดที่ดินได้อพยพเข้า เมืองเป็นจำนวนมาก ทำให้พวกชนชั้นกลาง (bourgeoie) ขึ้นมามีอำนาจแทนที่ขุนนาง สังคมได้ เปลี่ยนค่านิยมจากเรื่องชาติกำเนิดตามชนชั้นมาเป็นฐานะทางเศรษฐกิจของบุคคล พวกขุนนาง ต้องขายที่ดินให้แก่พวกชนชั้นกลาง ทำให้เกิดการพัฒนาที่ดินให้เป็นเกษตรกรรมเพื่อการค้า โดย เจ้าของที่ดินยกเลิกวิธีการดั้งเดิมมาให้ชาวนาเช่าที่ดินและจ่ายเงินให้กับเจ้าของแทน ทำให้พันธะ ตามระบอบฟิวดัลสิ้นสุดลง ระบอบกษัตริย์สามารถดึงอำนาจกลับคืนมาได้ และสถาปนาอำนาจ การปกครองสูงสุดตามระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้อีกครั้งหนึ่ง ทำให้การปกครองระบบฟิวดัล ซึ่งมีมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11-13 เริ่มเสื่อมลงในคริสต์ศตวรรษที่ 14 และล่มสลายลงใน คริสต์ศตวรรษที่ 16